รีวิว ฉงชิ่ง แบบไปงานแฟนมีต
รีวิวทริปจีนแบบไฟไหม้ ใช้เวลาเตรียมตัว 1-2 วันก็สามารถเดินทางได้แล้ว ขอแค่รู้สิ่งเหล่านี้

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้เดินทางไปเมือง ฉงชิ่ง ประเทศจีนแบบกะทันหัน เนื่องจากเพิ่งจัดการเรื่องการไปงานแฟนมีตของ Wendy Red Velvet เลยอยากจะมารีวิววิธีการเดินทางไปจีน โดยทริปนี้ไม่มีสปอนเซอร์แต่อย่างใด เป็นเพียงการจองแบบไวๆ เท่านั้น สำหรับใครก็ตามที่กำลังเตรียมตัวไปจีน ตามหัวข้อต่อไปนี้ได้เลย
การจองโรงแรม
สำหรับการไปเที่ยวต่างประเทศ สิ่งแรกที่คุณต้องดูเมื่อจะจองโรงแรมก็คือ Location ของโรงแรม ผมเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้กับ Time Square ของเมืองฉงชิ่ง และใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมากที่สุด
โรงแรมที่ผมจองคือ Bindun Langyi Hotel (Chongqing Jiefangbei Hongyadong) อยู่ชั้น 6 ของตึก No.118 ถนน Zourong โดยจุดสีเขียวที่ผมโชว์คือ เราสามารถเดินออกมาจากสถานี Linjiangmen ทางออกหมายเลข 5 ได้เลย ขึ้นมาจะเจอโรงแรมพอดี

โรงแรมเล็ก ๆ ในฉงชิ่ง ส่วนมากจะเป็นแบบ 1 ชั้นภายในตึก ซึ่งภายในตึกก็จะมีหลายโรงแรมแบ่งกัน และใช้ลิฟท์ร่วมกัน .. ใช่ครับ นี่คือความแย่อย่างนึงของโรงแรมเล็กๆ ช่วงเวลาเร่งด่วนเมื่อเราต้องการจะลง เราต้องขึ้นก่อน เพื่อคอนเฟิร์มว่าเราจะได้ลงไปข้างล่างเร็วๆ แน่นอน
โรงแรมที่ผมจองจะมีอาหารเช้าตอน 7.30 - 9.30 ซึ่งจะเป็นอาหารทั่วไปของจีน และมีพวกขนมปังแผ่นเล็กน้อย ช่วงสายๆ ก็จะมีพนักงานมาทำความสะอาดห้องพัก / เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว และเครื่องใช้ในห้องน้ำที่จำเป็น
ที่พักของผมไม่มีตู้เย็น และไม่มีตู้เซฟสำหรับเก็บของ ดังนั้นถ้าใครจะออกไปไหน ให้เก็บทรัพย์สินที่มีค่าไว้กับตัว หรือไม่ก็ใส่กระเป๋าแล้วล็อกรหัสเอาไว้ให้ดีครับ ซึ่งเราควรปฏิบัติลักษณะนี้เมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวทุกที่
การจองตั๋วเครื่องบิน
รอบนี้ผมใช้วิธีการจองโดยผ่านการค้นหา flight ผ่าน Trip , Sky Scanner รวมถึงราคาจากเว็บไซต์ของสายการบินโดยตรง เนื่องจากเป็นไฟลท์ที่เร่งด่วนทำให้ราคาพุ่งสูงถึง 11,000 - 13,000 ผมจึงเลือกตั๋วเดินทางที่ถูกที่สุดผ่าน Booking ของ Trip
โดยสายการบินที่ผมเริ่มเดินทางจาก สนามบินดอนเมือง ไปสนามบินเจียงฟางเป่ย เมืองฉงชิ่ง ด้วยสายการบิน ไทย แอร์เอเชีย ไฟลท์ FD552 ออกเดินทางในเวลา 13.55 น. ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงสนามบินเจียงฟางเป่ย ประเทศจีน
การเดินทางเที่ยวนี้ ใช้เครื่องบินแบบ Airbus A320 ซึ่งมี leg room ประมาณนึง โชคดีที่ผมไม่ได้นั่งในส่วนที่ติดกับห้องน้ำ ในรอบก่อนผมเดินทางไปกับสายการบินแอร์เอเชียแบบไม่ได้จองตั๋ว แล้วได้นั่งแถวสุดท้ายค่อนข้างอึดอัดเลยทีเดียว
ไฟลท์ขาไป ผมไม่ได้จองโหลดกระเป๋าไว้ เนื่องจากไปแค่ไม่กี่วันแต่ ผมเอากระเป๋าสำรองไปสำหรับการซื้อของฝากให้กับเพื่อนร่วมงาน และญาติ ผมจึงเลือกโหลดกระเป๋าเฉพาะขากลับเท่านั้น

ขณะที่ขากลับผมเลือกจองเป็นสายการบิน China Express Airline ด้วยเครื่องบินแบบ Airbus A320 ตามที่ Trip.com แนะนำ แต่ไฟลท์ขากลับของผมดีเลย์ คาดว่าน่าจะเกิดจากสภาพอากาศ ทำให้ Trip.com ติดต่อผมผ่านทางโทรศัพท์เพื่อแจ้งว่าไฟลท์ของเราถูกดีเลย์ และให้เราเลื่อนเวลา check-in และมีแจ้งเตือนผ่านแอพด้วย ซึ่งผมว่าก็เป็นข้อดีของการที่เราโหลดแอพพวกสายการบิน / พาร์ทเนอร์เอาไว้ มันจะสะดวกมาก แม้ว่าเราจะเดินทางไปต่างประเทศก็ตาม
เมื่อไฟลท์เดินทางของเราดีเลย์ แต่ไม่เกินชั่วโมงของกฏการเดินอากาศยานกำหนด ทางสายการบินจะไม่ได้เสนอการเปลี่ยนเที่ยวบิน การสำรองที่พักกรณีเปลี่ยนไฟลท์ไว้ให้
สำหรับ China Air Express ในรอบนี้ พนักงานต้อนรับได้จัดเตรียมอาหาร และน้ำดื่ม เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป แม้ว่าเรื่องสภาพอากาศจะเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้ก็ตาม
ส่วนตัวผมค่อนข้างโอเค กับการจัดการปัญหาของสายการบิน และผมเลือกที่จะบินแบบดีเลย์แต่ปลอดภัยมากกว่าบินไปแล้วต้องวนกลับมาจอดใหม่
ขากลับจากสนามบินเจียงเป่ยจนถึงสนามบินดอนเมือง มีการเกิด Turbulance หลายครั้งมาก จนเรียกว่าผมแทบจะไม่ได้ลุกไปเข้าห้องน้ำเลย เนื่องจากสัญญาณรัดเข็มขัดดังเกือบตลอดเวลา
อินเทอร์เน็ตโรมมิ่ง / VPN
สำหรับใครที่กำลังเดินทางมาที่ประเทศจีน พึงระวังไว้ครับ เมื่อเราต่อไวไฟของโรงแรม ไวไฟสาธารณะ หรือใช้อินเทอร์เน็ตภายในประเทศจีน เราจะไม่สามารถใช้งานแอพโซเชียลมีเดียได้ เช่น facebook , youtube หรือแม้กระทั่งแอพสตรีมมิ่งแบบ netflix , hostar , hbo เนื่องจากอินเทอร์เน็ตประเทศจีนจะบล็อกเนื้อหาจากเว็บไซต์/แอพเหล่านี้ครับ ซึ่งวิธีการแก้ก็มี 2 แบบ
- การซื้อซิม Gomo / อินเทอร์เน็ตโรมมิ่งจากค่ายมือถือที่ประเทศไทย ผมไม่แนะนำสำหรับการซื้อแพกเกจจาก Dtac/ True เท่าไร เนื่องจากเน็ตค่อนข้างช้า สัญญาณไม่เสถียรในบางพื้นที่โดยจะขึ้นว่า 4G และแพกเกจมีราคาค่อนข้างสูง ถ้าซื้อซิมแบบ Gomo ที่เป็นแพกเกจ 7 GB ไว้จะดีกว่าในกรณีที่เราเดินทางออกนอกเมือง และอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้าครับ
แนะนำให้ซื้อซิมโกโม่ ให้เรียบร้อยที่ประเทศไทย แล้วเลือกแพกเกจโรมมิ่ง 399 บาท ใช้เน็ต 7GB/ 365 Day สามารถซื้อมาตุนไว้ได้ครับ ถ้าแพกเกจแรกหมดจะสามารถใช้แพกเกจต่อไปได้ทันที ผมใช้ซิมโกโม่ของแฟน ค่อนข้างง่าย เน็ตเร็วมาก ๆ ดูรายละเอียดจากลิ้งค์ด้านล่างได้เลย

- ใช้บริการ VPN เพื่อเชื่อมต่อเน็ตที่ประเทศที่ต้องการได้ ทำให้เราสามารถใช้งานแอพได้เหมือนตอนอยู่ที่ประเทศไทย แต่การจะใช้งานได้เราต้องดาวน์โหลดแอพ VPN ของผู้ให้บริการมาก่อน แล้วเลือกเซิร์ฟเวอร์เป็นไทยครับ หลังจากนั้นเราจะต่อไวไฟหรือใช้เน็ตอะไรก็สามารถเข้าแอพทั่วไปได้ปกติ ไม่โดนบล็อกครับ
สำหรับผม ผมแนะนำให้โหลด BullVPN ไปแล้วใช้ Trial Package ครับ ซึ่งก็พอจะช่วยได้ ในระยะเวลาที่เราต้องการครับ แต่ระบบทีวี ที่จีนอาจจะไม่เหมาะกับการดูแอพสตรีมมิ่ง หรือใช้ Airplay ครับ ใครเป็นสายซีรีส์ แนะนำให้เอาไอแพดไปดูแทน หรือไม่ก็หาสาย HDMI ไปต่อกับทีวีครับ
ผมจะแปะลิ้งค์วิธีรับการ Trial เพื่อทดลองใช้ 3-5 วันด้านล่างนี้ (ไม่มี Affiliate Program )

ผมไม่ค่อยแนะนำ Pocket wifi สักเท่าไรครับ เนื่องจากบางจุดที่เป็นจุดอัพสัญญาณอาจจะใช้ได้ไม่ครอบคลุม และอาจจะต้องซื้อแพกเกจเน็ตในปริมาณที่ค่อนข้างมากครับ เนื่องจากปัญหาเรื่อง VPN ด้านบน
หากใครที่ต้องการไปจีนเพื่อไปเที่ยวกับอัพสตอรี่เฉยๆ ไม่ได้ต้องใช้เน็ตเยอะ ผมแนะนำให้ซื้อซิม Gomo ครับ แต่ถ้าใครต้องดูหนังด้วย อาจจะพิจารณาแพกเกจ VPN ไปด้วย แต่ต้องดูนะว่าโรงแรมที่เราจองไว้มีบริการไวไฟฟรี (ส่วนมากจะมีถ้าอยู่เขตเมือง)
แอพแผนที่
เนื่องจากเหตุผลเกี่ยวกับการระงับการใช้งานบริการของ Google ในจีน ทำให้แอพแผนที่ยอดนิยมอย่าง Google Map ไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีหลายคนแนะนำให้โหลด Baidu map แต่ผมเลือกจะโหลด A map มาแทน เนื่องจากกลัวโฆษณาและมัลแวร์แอบแฝงจาก Baidu แอพ ซึ่งเคยมีชื่อเสียงเรื่องนี้มาแล้ว

การใช้งาน A map ค่อนข้างง่ายครับ สามารถปรับเป็นภาษาอังกฤษได้ และแนะนำการเดินทางทุกรูปแบบให้กับเรา โดยจะบอกหมายเลขรถไฟ ที่เราจะต้องขึ้น และประตูทางออกที่ใกล้เคียงกับจุดหมาย แต่เสียดายที่ไม่เหมือน naver map ของเกาหลีที่จะมีบอกระยะเวลาที่ต้องรอรถไฟด้วย (ซึ่งผมคิดว่าฟีเจอร์นี้น่าจะมีใน Baidu Map)
A Map ไม่ได้มีแต่ข้อดีอย่างเดียวนะ ข้อเสียก็มี หากเราค้นหาด้วยภาษาอังกฤษเราอาจจะต้องไปดูรายละเอียดอีกทีนึงว่ามันใช่สถานที่ที่เราค้นหาหรือเปล่า ถ้าเราค้นหาชื่อภาษาจีนที่ของสถานที่ที่เราต้องไปได้ การใช้ A Map จะง่ายขึ้นครับ

อย่างไรก็ตามไม่ว่าเราจะมีแอพสำหรับ แผนการเดินทางแล้ว อีกอันนึงที่เราควรต้องเซฟไว้คือ แผนที่ subway ในฉงชิ่งครับ ซึ่งจะช่วยในการเริ่มต้นวางแผนการเดินทางจากจุดต่างๆ ในแต่ละวันได้ดีครับ
ผมยกตัวอย่างวันแรกที่ผมมา ผมรู้ว่าต้องขึ้นจาก สนามบิน Line 10 ไป transit ที่สถานี Zengjiyan แล้วต่ออีก 3 สถานีไปลงที่ Linjiangmen ออกทางประตู 5 แล้วแต่ละวันจะเดินทางไปไหน เราก็จะอ้างอิงกับ subway เริ่มต้นของเราครับ
แอพการเงิน
เราไม่สามารถจะจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตแบบ Visa / master card ทั่วไปได้ การจ่ายเงินในประเทศจีน จะมีวิธีการดังต่อไปนี้
- แอพ wechat เป็นแอพโซเชียลมีเดีย พื้นฐานของชาวจีน สามารถชำระเงินได้ โดยจะต้องผ่านการยืนยันตัวตน ง่ายที่สุดคือให้พื้นที่ยืนยันตัวตนในแอพ wechat แสกน QR Code เพื่อยืนยันตัวตนให้เรา สามารถทำได้ 1 ครั้งต่อวันเท่านั้น หลังจากนั้นก็ผูกบัตรเหมือน App ปกติ
การจ่ายเงินด้วย Wechat จะต้องเข้าไปที่บริการ Pay Service ซึ่งจะเลือกแสกน QR Code หรือสร้าง QR Code สำหรับการจ่ายเงินได้
wechat สามารถทำหน้าที่ในการคุยกับเพื่อนได้เหมือนแอพ messenger ทั่วไป ถ้าเรามีเพื่อนเป็นคนจีนสามารถคุยผ่านแอพนี้ได้ จะสะดวกสบายมากกว่า - แอพ Alipay (แนะนำ) เราสามารถยืนยันตัวตนได้ ผ่านการอัพโหลด passport และกรอกข้อมูลให้ถูกต้องหลังจากนั้นให้ผูกบัตรที่ต้องการใช้ แต่ควรจะเป็นบัตรที่มีระยะเวลาใช้งานมากกว่า 6 เดือนการวันหมดอายุบัตร
การจ่ายเงินทั้งแอพ wechat และ Alipay จะมี 2 รูปแบบ คือ เขาสแกนเรา และเราสแกนเขา
ผมยกตัวอย่างกรณี
- ร้านค้าแสดงผลเป็น QR Code ให้เรา เราจะต้องเลือกเมนู Scan QR Code
- แต่ถ้าเขามีเครื่องสแกน QR ให้เราเปิด QR Code แบบ Pay เพื่อให้เขาตัดเงิน จริงๆ แล้วคล้ายกับ KPLUS ในประเทศไทยเลยครับ
จริงๆ แล้วมีเมนู QR Code แบบ Recieve ด้วยนะ แต่บางกรณีที่เป็นร้านเล็ก ๆ อาจจะทำไม่ได้เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัยของการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน และการรับเงินของบัตรที่เราผูกไว้ด้วยครับ แต่ส่วนมากเราจะใช้วิธีสแกนเพื่อจ่ายแบบด้านบน วิธีใดวิธีหนึ่งมากกว่า
แนะนำให้ใช้ Travel Card เช่น SCB Planet (SCB), YouTrip (Kbank) เพื่ออัตราการแลกเปลี่ยนในเรทที่ดีกว่าบัตรเครดิต วิธีการสมัครก็ไม่ยากอีกด้วย เราสามารถนำเงินเข้า Travel card แล้วแลกสกุลเงินได้เลยกรณีที่เราเห็นว่าค่าเงินหยวนอ่อน หรือเราจะเติมเงินไทยเข้าไปแล้วให้บัตรแลกเปลี่ยนตอนชำระเงินก็ได้
แอพ Alipay ยังใช้สำหรับการเดินทาง Metro ได้แบบง่าย ๆ เพียงแค่เราเลือกหัวข้อ Transport เมืองที่เราเดินทาง จากนั้นกด Activate จากนั้นก็ใช้ QR Code จากเมนู Transport แสกนเข้าออกสถานีได้เลย
นอกจากนี้ สามารถเรียกรถแท็กซีผ่านเมนู DiDi ได้เลย แล้วค่อยชำระเมื่อเดินทางเสร็จผ่านแอพ ไม่ต้องคุยกับคนขับเลยก็ได้ (คล้าย Grab ) - แอพ Truemoney สำหรับใครที่มี Truemoney wallet สามารถไปเลือกการชำระแบบต่างประเทศ (Oversea) แล้วเลือกเป็น China mainland ข้อดีของแอพนี้มีอย่างเดียวเลย คือกรณีที่เราซื้อของมากกว่า 200 หยวน เราจะไม่เสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม 3% เหมือนแอพ Alipay , Wechat ผมมีเงินใน True money อยู่แล้วจึงไม่ได้ตัดสินใจจะเติมเพิ่ม
กรณีที่เราต้องซื้อของมูลค่าเกิน 200 หยวน เราสามารถเปิดแอพธนาคารแล้วเติมเงินเข้า True money ก่อนซื้อได้เลย ประหยัดไปอย่างน้อยก็ราวๆ 25 บาท - บัตรเครดิตที่มีสัญลักษณ์ Union Pay สามารถใช้จ่ายเงินได้ แต่ร้านเล็ก ๆ มักจะไม่ค่อยรับบัตรเครดิตกัน เพราะฉะนั้นทางเลือกนี้ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้าย สำหรับซื้อของจากร้านขนาดใหญ่เท่านั้น
- เงินสด เราสามารถใช้เงินสดได้ แต่ไม่แนะนำให้แลกไปเยอะ เพราะมีเพียงแค่ไม่กี่สถานที่ที่จะใช้เงินสด แลกไปไม่เกิน 2000 บาท ก็เพียงพอแล้ว
ผมแลกเงินที่สนามบินดอนเมือง ผ่าน Cloud Exchange ให้เรทอยู่ที่ 4.50 ขณะที่ร้านอื่นๆ ให้ต่ำสุดที่ 4.54 ซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ อยู่ที่ชั้น บนสุดของ Domestic Terminal
แอพที่ควรมีอื่นๆ
ตอนผมเดินทางไปฉงชิ่งคนที่นั่น ไม่พูดภาษาอังกฤษเลย น่าจะหนักกว่าร้านเล็กๆในเกาหลีอีก แต่ผมใช้ Interpreter ใน Samsung S24 Ultra ตั้งแต่การคุยกับพนักงานโรงแรมตอนโทรจากประเทศไทย AI สามารถแปลข้อความให้เราได้ถูกต้อง

ผมสร้าง Widget ในหน้า Home Screen สำหรับการใช้งานแบบเร่งด่วน โดยเลือกภาษาที่ต้องการแล้วกด Widget Interpreter โหมด Conversation เพื่อให้มันแปลข้อความพร้อมอ่านออกเสียงให้ฝั่งตรงข้ามฟังด้วย หรือถ้าใครโหลด Google Translate ไปใช้งานด้วยก็ได้ สำหรับกรณีที่เราต้องการอ่านข้อความบางอย่าง สามารถถ่ายภาพแล้วให้แอพแปลได้เลย
สถานที่ท่องเที่ยว (แลนมาร์ค)
เนื่องจากทริปของผมระยะเวลาค่อนข้างสั้น อาจจะไม่ได้เดินทางไปหลายที่มาก แต่ผมจะแนะนำเฉพาะสถานที่ที่ผมคิดว่าควรไป ดังต่อไปนี้นะครับ
- ฮงหยาต้ง ป้อมปราการโบราณที่เป็นห้างสรรพสินค้า โดยจะเปิดไฟตอน 20.00 น. และปิดไฟตอน 23.00 น. และมีสะพานแดงอยู่ด้านข้าง สามารถไปถ่ายรูปได้ เดินไปเป็นกิโลเมตรได้เลยกว่าจะถึงอีกฝั่งของสะพานแดงที่คนนิยมไปถ่ายกัน
ฮงหยาต้ง เป็นห้างสรรพสินค้า 11 ชั้น โดยจะมีบันไดที่ผ่านร้านค้าหลายร้าน ไม่ได้เป็นบันไดที่สามารถขึ้นไปตั้งแต่ชั้น 1 - 11 ได้ในทีเดียว เราจะต้องเดินหาบันไดลิฟท์ไปเรื่อย ๆ - สถานีรถไฟ Libiza สถานีรถไฟที่วิ่งผ่านตึก เป็นแลนมาร์คที่คนชอบมาถ่ายรูปกัน ผมว่าสถานที่ตรงนี้สวยครับ มีช่างภาพคอยถ่ายรูปให้ด้วย
นอกจากจะเป็นแลนด์มาร์คแล้ว ภายในอาคารยังเปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้า ที่มีแยกโซนกันในแต่ละชั้น สามารถเดินดูของที่ระลึกได้ และรับประทานอาหารได้ด้วย - ตึก Kuixinglou สถานีรถไฟ Lingjiangmen ทางออก 2 เป็นตึกที่เราสามารถเห็นถนนจากอีกฝั่งและ เดินไปอีกฝั่งจะเป็นตึกชั้น 22 โดยมีวิวมองลงไปด้านล่างเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีคนสัญจรไปมา อันเกิดจากการสร้างตึก + ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขา
อาหารและวิธีสั่งอาหาร
หมาล่าหม้อไฟ หมาล่าเนื้อ เป็นเมนูออริจินอลจากฉงชิ่งประเทศจีน เราจะสังเกตได้ว่าไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมืองก็ตาม จะมีร้านหมาล่าเปิดอยู่เสมอ โดยหมาล่าที่ฉงชิ่งจะมีพริกที่ทำให้ลิ้นชาได้ ซึ่งจะเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจาก ร้านหมาล่าในไทย
ผมได้มีโอกาสไปรับประทานหมาล่าหม้อไฟ โดยเลือกสั่งเนื้อ / หมู ซึ่งถือว่าคุณภาพค่อนข้างดี เทียบเท่ากับร้านอาหารพรีเมี่ยมหลายร้านในไทยเลย
เมนูอื่นๆ จะเน้นไปทางอาหารประจำวันของชาวจีน และจะมีร้านไอติม ร้านชา ที่เราสามารถพบเห็นในไทยได้บางร้าน อยู่ตามถนนสายหลัก สามารถหากินได้ตลอดเส้นทาง และราคาเป็นที่จับต้องได้
สำหรับวิธีการสั่งอาหาร โดยทั่วไปจะมีวิธีการสั่งอาหาร 2 แบบครับ
1.สั่งอาหารกับพนักงานวิธีนี้ค่อนข้างง่าย แต่เราอาจจะต้องมีการพูดคุยกับเขาเยอะหน่อย ถ้าเป็นคนที่แพ้อาหารก็เตรียมคำแปลไปเลยครับ จะได้สะดวก
2.สั่งอาหารผ่าน Alipay วิธีนี้ ร้านค้าจะมี QRCode ให้เราสแกน คล้าย ๆ กับประเทศไทย เราก็เข้าไปเลือก โดย Alipay จะมี translate ให้ในตัว สามารถเปลี่ยนไปภาษาอังกฤษได้ก่อนสั่ง จริงๆแล้วก็ค่อยข้างง่าย และเหมาะกับสาย Introvert เหมือนกัน
วิธีนี้สามารถใช้กับการสั่งอาหารประเภท Food delivery ได้ และเป็นที่ได้รับความนิยมผ่านการสั่งอาหารด้วย Alipay คล้ายๆกับ Grab food ที่ประเทศไทย แต่ Alipay เขาเป็นศูนย์รวมของบริการหลายๆ อย่างในจีน
ร้านของฝาก
ฉงชิ่งจะมีร้านของฝาก เรียกว่าแทบจะทุกๆ ช่วงตึกจะมีร้านของฝากอย่างน้อย 1 ร้านเสมอ น่าจะมีมากกว่าร้านสะดวกซื้อทั่วไปด้วยซ้ำ ผมแทบไม่เจอ 7-11 เลย แต่พวก Lawson หรือร้านชำทั่วไปอาจจะเจอบ่อยกว่า (คล้ายๆร้านของฝากแถวเพชรบุรี แต่อยู่ในแถวทั่วไปเลย)
ฉงชิ่งขึ้นชื่อเรื่องอาหารถิ่น หมาล่าเป็น 1 ในนั้นครับ เรียกได้ว่าเป็นเมนูยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเลย ซึ่งจะมีของฝากเป็น พริกแกงหมาล่า ซุปหมาล่า เป็นต้น สามารถซื้อมาฝากได้ครับ พวกนี้อยู่ได้นาน 8 วันในอุณหภูมิห้องปกติเลย แต่ถ้าเป็นสินค้าอย่างอื่น ๆ แนะนำให้สอบถามพนักงานร้าน จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากกว่า บางชิ้นอาจจะอยู่ได้มากกว่า 8 วัน อย่างพวกขนมกินเล่น
นอกจากนี้ยังมีขนมขบเคี้ยวอีกมากมายในร้านของฝาก สามารถเลือกแบบที่เป็นซองเล็กๆ สำหรับแจกคนในบริษัทได้ และซื้อเป็นถุงก็ได้
สรุปค่าใช้จ่าย
เนื่องจากทริปนี้เป็นทริปกะทันหัน และเป็นทริปที่ผมตั้งใจจะเดินทางไปงานแฟนมีตจึงอาจจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงนิดนึง จะขอสรุปให้ตามนี้ครับ
1. ค่าเครื่องบิน 13,000 บาท
2. ค่าโรงแรม 3 คืน 2,500 บาท
3. ค่าเดินทางภายในประเทศจีน (รถไฟฟ้า รถไฟ รถแท็กซี่ ฯลฯ) ~ 500 บาท
4. ค่าอาหาร 2,200 บาท
5. ค่าของฝาก 2,000 บาท
รวมเฉพาะค่าเดินทางทั่วไป 20,200 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
- ค่าบัตรแฟนมีตติ้ง 8,500 บาท
ค่าใช้จ่ายสามารถทำให้ราคาน้อยลงกว่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และการใช้จ่ายส่วนบุคคล
งานแฟนมีต Wendy
งานแฟนมีตของ Wendy Red Velvet ถูกจัดขึ้นในวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 โดยช่วงแรกผมได้ฝากเพื่อนในกลุ่มที่มีความสามารถในการอ่านและสื่อสารภาษาจีน ช่วยในการจองบัตรจนสำเร็จ และได้ไปรับบัตรที่หน้างาน ซึ่งสถานที่จัดงานจะถูกประกาศก่อนงานเริ่มล่วงหน้า 1 วัน
Give away จาก Wendybar

ก่อนวันงานผมได้ไปเก็บ Project Wendy ที่ร้านคาเฟ่มาด้วย ร้านที่ผมไปชื่อ Yoyo Coffee ขึ้นรถไฟฟ้า สายสีเขียว (Line 2) ไปลงสถานี Xiejewan แล้วไปต่อสายสีเหลือง (Loop Line) ลงที่สถานี Chenjiaping แล้วเดินไปอีก 500 เมตร จะเจอคาเฟ่
พื้นที่ของคาเฟ่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ในภาพรวมก็มี Give Away ทั้งแบบ Photo Card , Poster และถุงผ้า Wish you hell แจกอีกด้วย ตอนที่ผมไปถึงผมคิดว่าสถานที่ค่อนข้างเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนคน ผมจึงใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานเท่าไร เพราะมีแฟนคลับหลายๆ คนต้องการเข้ามาถ่ายรูป
เบเนฟิตงานแฟนมีต

สิทธิพิเศษที่จะได้รับเมื่อเข้าร่วมงานแฟนมีต ก่อนที่เราจะรับสิทธิพิเศษ เราจะต้องทำการเช็คลำดับที่นั่ง แล้วนำไปยื่นให้สตาฟใส่ ลิสแบน เพื่อง่ายต่อการคัดกรอง
1. ถ่ายรูปรวม 1 :10 กับศิลปิน โดยเราจะต้องต่อแถวตอน 16.00 น. เพื่อเข้าไปถ่ายรูป สำหรับที่นั่ง VIP จะได้ทุกคน แต่ถ้าเป็นที่นั่งโซน A จะสุ่มเพียง 100 คนเท่านั้น
2. Signed Poster in a person คือการที่เราจะได้เข้าไปพูดคุยกับศิลปินเล็กน้อย ๆ ก่อนที่เขาจะเซ็นต์โปสเตอร์ให้กับเรา สำหรับที่นั่ง VIP สุ่ม 50 คน (ผมอยากได้สิทธิ์นี้มากๆ แต่ดวงไม่ถึง)
3. Signed Poster คือเราจะได้รับ Poster ที่ศิลปินเซ็นต์ไว้แล้ว สำหรับโซน VIP 130 คน โซน A 15 คน และโซน B เพียง 5 คนเท่านั้น (ผมได้รับสิทธิ์นี้ แต่ก็ยังดี บางคนอาจจะไม่ได้รับสิทธิ์ใด ๆ เลย )
4.Official Poster สำหรับคนที่ไม่ได้รับเบเนฟิตใด ๆ จะได้โปสเตอร์งานแบบที่ไม่มีลายเซ็นต์
5.โพลารอย การ์ด พร้อมลายเซ็นต์ สำหรับโซน VIP 25 ใบ และโซน A 5 ใบ
6.Hi Touch กิจกรรมที่เราจะได้แตะมือกับศิลปินและพูดอะไรบางอย่าง เช่น ทักทาย , ให้กำลังใจ ฯลฯ จำนวน 200 ที่นั่งแบบสุ่ม สำหรับโซน VIP
7. Hi Bye กิจกรรมที่เราจะได้พูดคุยกับศิลปินสั้นๆ แต่จะไม่ได้แตะมือเหมือนกับ Hi Touch
8. Photocards ได้ทั้งหมด 5 แบบ สำหรับที่นั่ง VIP , 3 ใบสำหรับที่นั่งโซน A และมีเพียง 1 ใบสำหรับโซน B ( โซน A,B จะเป็นการสุ่มจาก 5 แบบที่มีทั้งหมด )
9.จดหมายเชิญจาก FM เป็นรูปแบบ gift card ได้ทุกที่นั่ง
กิจกรรมภายในงานแฟนมีต

11.00 - 14.00 น. แลกรับสิทธิพิเศษในแต่ละที่นั่ง
15.00 - 15.10.น. ต่อแถวเข้าไปรับโปสเตอร์ไซน์ แบบเจอศิลปิน
15.10 - 15.40 น. ช่วงเวลารับโปสเตอร์ไซน์จากศิลปิน
15.40 - 16.00 น. ต่อแถวถ่ายรูป 1:10
16.00 - 16.40 น. ช่วงเวลาถ่ายรูป 1:10
17.10 - 18.20 น. ช่วงเวลาต่อแถวเพื่อเข้าชมการแสดง
18.30 น. แฟนมีตเริ่มต้น
หลังจากจบการแสดง เริ่มต้นการ Hi-Touch & Hi-Bye ตามลำดับ








ภาพกิจกรรมภายในงาน
ภายในช่วงเวลาของการแสดงมีกิจกรรมมากมาย
1.การทายเพลงจากการรีมิกซ์ และย้อนหลังเพลง โดยให้แฟนคลับช่วยศิลปินฟังแล้วตอบ
2.การยิงธนูเพื่อเลือกมิชชั่นในการทำกิจกรรม
3.การแสดงการแต่งตัวตามเพลงที่ถูกเปิดขึ้น โดยมีพร็อบต่าง ๆ ทั้งแว่นตา หมวก ฯลฯ
4.ช่วงเวลาพูดคุย และเวนดี้ประกาศว่ากำลังจะมีอัลบั้มใหม่ กับคอนเสิร์ตใน bucket list ของเธอ ช่วงนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าแปลได้ถูก
เนื่องจากแฟนมีตครั้งนี้ถูกจัดที่ฉงชิ่ง ประเทศจีน การแปลภาษาจึงเป็นภาษาจีนทั้งหมด ผมจึงใช้ Interpreter ของ Samsung S24 Ultra ในโหมด Conversation เพื่อแปลข้อความบางส่วน และใช้โหมดแปลภาษาของ Samsung เพื่ออ่านกิจกรรมต่อไปได้ แม้ว่าไม่ได้เข้าใจ 100% แต่เราก็สามารถเข้าใจบริบทคร่าวๆ ได้
เนื้อหาส่วนมากที่เวนดี้พูดเป็นภาษาเกาหลีบางคำผมได้ยินบ่อยจนพอจะแปลได้แล้ว ท่อนไหนที่คิดว่าแปลได้ก็จะไม่ได้ใช้โหมดแปลภาษา แต่ก็แอพเลื่อนทวิตเตอร์ (x) ไปดูว่าเขาพูดอะไรกันบ้าง เพราะในทวิตเตอร์ค่อนข้างจะเล่าเกือบเรียลไทม์กันเลยทีเดียว
สถานที่จัดงาน
สถานที่จัดงานคือ Jiangnan Sport Center Gymnasium ผมเดินทางไปตอน 11 โมง เพื่อรับบัตรและ เบเนฟิต Poster Signed ที่ได้รับมา อากาศค่อนข้างร้อน แต่ผมก็ไปรับ give away จากบรรดาแฟนคลับที่เตรียมไว้ให้มากมาย แล้วก็ไปหลบร้อนที่ห้าง Starlight ที่อยู่ห่างออกไป 2.3 กม. จาก สเตเดียม

อันที่จริงแล้วใกล้ๆ กับสเตเดียม แทบจะไม่มีจุดนั่งพักที่เพียงพอต่อการจัดงานที่มีคน 1,000 คนเลย มีเพียงโรงแรมแมริออท เท่านั้นที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียง และต้องเดินเกือบ 1 กิโลเมตรจากสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด ทำให้หลายๆ คนเลือกใช้บริการแอพ DiDi ทำให้การจราจรแถวนั้นหนาแน่นมากๆ
โชคดีที่ผมออกมาก่อนแล้วเดินไปขึ้นรถไฟ ในช่วงเวลานั้นคนยังไม่ได้เยอะมาก แต่กว่าจะถึงโรงแรมก็ 3 ทุ่มเข้าไปแล้ว เป็นวันที่เหนื่อยแต่มีความสุขจริง ๆ แฟนคลับเยอะมาก หวังว่ารอบหน้าเวนดี้จะมาจัดแฟนมีตที่ไทยบ้าง 😄