Customer Data Platform

เพราะในโลกของ Data Marketing คนที่รู้จักลูกค้าดีกว่า คือคนที่ชนะ

Customer Data Platform

เรื่องนี้ผมตั้งใจจะเขียนมาได้สักพักแล้ว พอดีมีคนถาม และมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง CDP ทักมาทุกช่องทางเลย ก่อนอื่นผมขอออกตัวเลยว่าคลิปนี้ไม่มีสปอนเซอร์ใด ๆนะครับ ผมเขียนจากประสบการณ์ทำงานจริงกับ CDP หลายๆ เจ้า และอาจจะยกตัวอย่างแค่บางเจ้าในการนำเสนอ ให้เข้าใจง่ายที่สุดเฉย ๆ ครับ

CDP คืออะไร? ทำไมแบรนด์ยุคใหม่ถึงต้องมี

หลายแบรนด์มีข้อมูลลูกค้าอยู่เต็มไปหมด — จากเว็บไซต์, แอป, โฆษณา, POS, หรือแม้แต่กิจกรรมออฟไลน์ แต่ข้อมูลเหล่านี้กระจายอยู่คนละที่ ทำให้เรา เห็นลูกค้าไม่ครบในทุก ๆ touch point ใน Customer journey ที่เข้าอยู่จริง ๆ

ตรงนี้แหละที่ CDP (Customer Data Platform) เข้ามาช่วย

CDP คือระบบที่รวบรวมข้อมูลลูกค้าทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) มารวมไว้ในที่เดียว แล้วจัดเรียงให้เห็นเป็น ภาพเดียวของลูกค้าแต่ละคน รู้ว่าเขาเป็นใคร เคยซื้ออะไร สนใจเรื่องไหน และเคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ยังไงบ้าง

แล้ว CDP รู้ได้ยังไงล่ะ ว่าใครเป็นใคร ?


CDP ทำ Unify ได้ยังไง (เบื้องหลังทางเทคนิค)

การ Unify ข้อมูลลูกค้าใน CDP ไม่ได้เป็นแค่การเอาข้อมูลมารวมในตารางเดียว แต่คือการจับคู่ (Match) ว่าข้อมูลแต่ละจุดมาจากคนเดียวกันจริง ๆ โดย CDP จะใช้กระบวนการหลัก ๆดังนี้ แต่ละเจ้าอาจจะใช้ไม่เหมือนกัน แต่โดยหลักๆ แล้วหลักการประมาณนี้

1. Identity Collection – เก็บตัวระบุตัวตนจากหลายแหล่ง

CDP จะดึงข้อมูลจากหลายระบบ เช่น

  • เว็บไซต์ (ผ่าน cookie / device ID / email)
  • แอปมือถือ (ผ่าน user ID / token)
  • ระบบ CRM (ชื่อ เบอร์โทร อีเมล)
  • POS หรือระบบสมาชิก (member ID / RFID)
  • ช่องทางโฆษณา (Facebook ID / Google Click ID)

สิ่งเหล่านี้เรียกว่า Identifiers ซึ่งแต่ละระบบจะมีของตัวเอง

2. Identity Resolution – การจับคู่และเชื่อมโยงข้อมูล

เมื่อ CDP เก็บ identifiers ได้แล้ว มันจะเริ่มกระบวนการระบุตัวตน (Identity Resolution) เพื่อบอกว่า ข้อมูลพวกนี้คือคนเดียวกัน โดยใช้สองแนวทางหลัก

  • Deterministic Matching (แน่ชัด):
    ใช้ข้อมูลที่ระบุตัวตนชัดเจน เช่น อีเมล เบอร์โทร หรือ user ID เดียวกัน
    เช่น user_123 ในแอป กับ email@gmail.com ในเว็บ เป็นคนเดียวกัน
  • Probabilistic Matching (คาดคะเน):
    ใช้ข้อมูลที่คล้ายกัน เช่น พฤติกรรม / device / location เดียวกัน
    เช่น มีเบอร์โทรต่างกันแต่ใช้อุปกรณ์เดียวกันในเวลาใกล้เคียง

3. Identity Graph – สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ของข้อมูล

ลองนึกภาพว่าข้อมูลลูกค้า จากแต่ละระบบเป็นเหมือนจุด (node)
เช่น

  • เว็บไซต์มี อีเมล
  • แอปมี user_id
  • ระบบสมาชิกมี เบอร์โทรศัพท์
  • และโฆษณามี Facebook ID

ในตอนแรกแต่ละจุดนี้จะกระจัดกระจาย เหมือนจุดแยกกันเต็มไปหมด CDP จะเข้ามาเชื่อมเส้นระหว่างจุดเหล่านี้เข้าด้วยกัน โดยดูว่าจุดไหนน่าจะเป็น คนเดียวกัน

เมื่อเชื่อมกันแล้ว เส้นที่โยงระหว่างจุดเหล่านี้จะกลายเป็น เครือข่ายความสัมพันธ์ ที่เรียกว่า Identity Graph จะช่วยให้ระบบรู้ว่า อีเมลนี้ เชื่อมกับ Facebook ID นี้ และเป็นคนเดียวกับ สมาชิกใน POS รหัสนี้

พูดง่าย ๆ คือ Identity Graph คือ แผนผังที่ทำให้ข้อมูลแต่ละชิ้นพูดคุยกันได้ จากที่เคยแยกกัน ก็กลายเป็นภาพเดียวกันของลูกค้าคนหนึ่ง

4. Profile Unification – รวมข้อมูลทั้งหมดเป็นโปรไฟล์เดียว

เมื่อ CDP สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ได้แล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการ รวมข้อมูลทั้งหมดของคนคนนั้น เข้ามาไว้ในโปรไฟล์เดียว

ระบบจะดึงข้อมูลจากทุกแหล่ง เช่น ประวัติการซื้อ การเข้าเว็บ การคลิกโฆษณา และข้อมูลสมาชิก
มารวมเป็นโปรไฟล์ลูกค้าคนเดียว ที่มีรายละเอียดครบทุกช่องทาง

ตัวอย่างเช่น

แอนเคยคลิกโฆษณา → เข้ามาดูสินค้าในเว็บ → ซื้อสินค้าผ่านแอป →
และไปร่วมกิจกรรมที่สาขาในห้าง

ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกเก็บรวมในโปรไฟล์เดียวว่า

นี่คือลูกค้าชื่อแอน และนี่คือเส้นทางการมีปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดกับแบรนด์

ผลลัพธ์คือแบรนด์สามารถเข้าใจลูกค้าแต่ละคนแบบ 360 องศา ไม่ต้องเดา ไม่ต้องเปิดดูหลายระบบ เพราะข้อมูลทุกอย่างรวมอยู่ในที่เดียว

เห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าการทำ CDP จริงๆ แล้วไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แต่นอกจากปัญหาทางเทคนิคที่เป็นของจำกัดแล้ว ปัญหาอีกส่วนนึงที่ผมกำลังกล่าวถึงทุกคนน่าจะพอเดากันได้ใช่ไหมครับ .... ใช่ครับ คือปัญหาที่เกี่ยวกับการจัดการข้อมูลของแต่ละองค์กร


ความท้าทาย (Challenges) ของการทำ CDP

สำหรับการทำ Customer Data Platform ในช่วงแรกอาจจะมีความยากเล็กน้อย แต่พอเราเข้าใจคอนเซปต์ วิธีการทำงาน เราจะค่อยๆ พัฒนามันไปได้เรื่อย ๆ ครับ นอกจากนี้เราอาจจะได้มุมมองในการออกแบบวิธีการเก็บข้อมูลใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานนำไปใช้งานที่สุดครับ

เรื่องราวที่ท้าทายสำหรับคนเริ่มต้นทำ CDP

1. ข้อมูลกระจัดกระจาย และไม่เชื่อมกันจริง

หลายองค์กรมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่เก็บอยู่กันคนละที่ เช่น ทีมมาร์เก็ตติ้งมีข้อมูลลูกค้าใน CRM ทีมขายมีข้อมูลใน POS ส่วนทีมมีเดียมีข้อมูลจาก Facebook / Google พอจะรวมกันจริง ๆ กลับไม่มีจุดเชื่อมที่ชัดเจน (เช่น ไม่มี email หรือ user_id ที่ตรงกัน) ทำให้การสร้าง Unified Profile ทำได้ยาก หรือไม่สมบูรณ์

พูดง่าย ๆ คือ ข้อมูลมี แต่ไม่สามารถนำไปเชื่อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. คุณภาพของข้อมูล (Data Quality) ต่ำ

ข้อมูลที่เก็บมามักมีปัญหา เช่น

  • มีชื่อซ้ำ / อีเมลผิดรูปแบบ
  • เบอร์โทรไม่ครบ / กรอกมั่ว
  • ภาษาไม่ตรงกัน (ไทย / อังกฤษ / ตัวสะกดเพี้ยน)

เมื่อข้อมูลต้นทางไม่สะอาด CDP ก็จะรวมออกมาได้ไม่แม่น ส่งผลต่อการวิเคราะห์และการทำ segmentation ที่ผิดพลาด และอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับ CDP ที่มีโมเดลการคิดเงินแบบ Monthly Active user (MAU)

3.การเชื่อมต่อระบบเดิม (Integration Complexity)

หลายองค์กรมีระบบเก่าที่สร้างมานาน (Legacy System) และไม่ได้ออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับ CDP ได้ง่าย บางระบบไม่มี API, ไม่มีโครงสร้างข้อมูลชัดเจน หรือใช้ฟอร์แมตเฉพาะ

การเชื่อมต่อระบบเหล่านี้เข้ากับ CDP จึงต้องอาศัยเวลา และคนเทคนิคสูง

4️. ข้อจำกัดด้านบุคลากรและความเข้าใจ (Skill & Mindset)

CDP ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องทำร่วมกันทั้ง การตลาด, ขาย, และ Data team ซึ่งหลายองค์กรยังไม่เข้าใจตรงนี้ ทำให้ยังเกิดปัญหาเรื่องการใช้ข้อมูลอยู่เป็นประจำ

ทีมที่ใช้ CDP ต้องเข้าใจข้อมูล และรู้ว่าจะใช้มันเพื่อสร้างคุณค่าอย่างไร

5. การจัดการเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและ PDPA

CDP เก็บข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล (PII) องค์กรจึงต้องมีระบบจัดการ consent, anonymization และ data governance ที่ดี เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น PDPA หรือ GDPR

ถ้าจัดการไม่ดี แทนที่จะสร้างความเชื่อมั่น อาจกลายเป็นปัญหาทางกฎหมายแทน


ประโยชน์ของ CDP

ผมขอยกตัวอย่าง Segment ของ Twilio ประกอบการอธิบายตัวอย่างการทำงานของ CDP นะครับ ทุกคนสามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้ครับ เป็น 1 ตัวที่คุณสามารถทดลองฟีเจอร์พื้นฐานได้ง่าย ๆ พร้อม document ค่อนข้างดี เหมาะกับมือใหม่ครับ

Twilio Segment - Customer Data Platform
Twilio Segment is a customer data platform (CDP) that helps you collect, clean, and activate your customer data.

1. รวมข้อมูลจากหลายแหล่งให้อยู่ในที่เดียว

ปกติข้อมูลลูกค้าจะกระจายอยู่หลายระบบ — เว็บ, แอป, โฆษณา, POS, Line OA, หรือแม้แต่กิจกรรมออฟไลน์

ตัวอย่างการ รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า กับ Profile (Segment)


CDP จะดึงข้อมูลเหล่านี้มารวมไว้ในที่เดียว และเชื่อมโยงเป็นคนเดียวกัน แม้ว่าลูกค้าจะใช้หลายช่องทาง (เช่น ใช้ทั้งเว็บ แอป หรือแม้กระทั่งซื้อของที่ออฟไลน์สโตร์) ผลลัพธ์คือทีมมาร์เก็ตติ้งและทีมวิเคราะห์จะเห็นภาพเดียวกัน ไม่ต้องเสียเวลาไล่ดูข้อมูลจากหลายระบบอีกต่อไป

2. เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึกและแบบเรียลไทม์

CDP ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เช่น ลูกค้าคลิกดูสินค้าอะไรบ่อย ซื้อช่วงเวลาไหน หรือชอบสินค้าประเภทไหน และที่สำคัญ ข้อมูลเหล่านี้จะอัปเดตแบบเรียลไทม์ ทำให้คุณรู้ทันว่าตอนนี้ลูกค้าสนใจอะไร กำลังอยู่ในเส้นทางการซื้อหรือไม่ ช่วยให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์หรือสื่อสารได้ตรงเวลาและเหมาะสมมากขึ้น

Real-time data using Segment

3. สร้างกลุ่มผู้ใช้งานที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

CDP ช่วยให้คุณแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ได้ละเอียดกว่าที่เคย เช่น

  • ลูกค้าที่ซื้อครั้งเดียวแต่ยังไม่กลับมา
  • ลูกค้าที่เปิดอ่านอีเมลแต่ไม่เคยคลิกลิงก์
  • ลูกค้าที่เคยเข้าหน้าโปรโมชั่นแต่ยังไม่ซื้อ
    การสร้างกลุ่มเฉพาะแบบนี้ช่วยให้การตลาดแม่นยำขึ้นมาก — เพราะเราสื่อสารกับคนที่ ‘มีแนวโน้ม’ จริง ๆ ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายกว้างๆ ทั่วไปเท่านั้น
Create Audience

4. ส่งต่อข้อมูลไปยังเครื่องมือโฆษณาหรือ CRM ได้ง่าย

เมื่อมีข้อมูลลูกค้าอยู่ใน CDP แล้ว ระบบสามารถส่งต่อข้อมูลนี้ไปยังเครื่องมืออื่น ๆ ได้ เช่น

  • Facebook Ads / Google Ads → เพื่อทำ Audience Matching
  • CRM หรือ Email Marketing → เพื่อทำ Personalized Campaign
    ไม่ต้องคอยอัปโหลดไฟล์หรือจัดการข้อมูลด้วยมือบ่อย ๆช่วยให้การทำงานของทีมมาร์เก็ตติ้งไหลลื่นขึ้นและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์
Data Integration (Segment)

5. ช่วยให้การทำ Personalized Marketing เป็นจริงได้

สุดท้าย สิ่งที่หลายแบรนด์อยากทำแต่ทำได้ยาก คือ Personalization
CDP ทำให้เรารู้จักลูกค้าในระดับบุคคล เช่น รู้ว่าใครชอบสินค้าแบบไหน เคยซื้ออะไร ราคาเท่าไร และเข้ามาช่วงเวลาไหน

สิ่งนี้ทำให้เราสามารถส่งข้อความ โปรโมชั่น หรือข้อเสนอที่ตรงใจ ลูกค้าคนนั้นจริง ๆ
ผลลัพธ์คือยอดคลิกสูงขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น และความพึงพอใจของลูกค้าก็เติบโตตามไปด้วย

Personalized Marketing (Engage Segment)

เมื่อก่อนการจะทำ Personalization ในแต่ละครั้งหากเราไม่มี CDP เราอาจจะต้องไปเริ่มจากการติด tagging ,set audience รอข้อมูล แล้วส่ง creative / message กว่าจะจบขั้นตอนใช้เวลายาวนานมาก ยังไม่นับปัญหา Data silos ที่เกิดภายในองค์กร และการประสานงานข้ามแผนกอีก เป็นใครเจอแบบนี้ก็ท้อครับ


มี CRM อยู่แล้วจำเป็นต้องมี CDP หรือไม่

แม้ว่า CDP (Customer Data Platform) และ CRM (Customer Relationship Management) จะดูเหมือนเป็นระบบที่ใช้จัดการข้อมูลลูกค้าเหมือนกัน แต่ในความจริงแล้วทั้งสองระบบมี จุดประสงค์และวิธีการใช้ข้อมูลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

จุดประสงค์หลัก

  • CDP: มีหน้าที่หลักในการรวบรวมและรวมศูนย์ข้อมูลลูกค้าทั้งหมด จากหลายแหล่ง เช่น เว็บไซต์ แอปมือถือ ระบบ POS แพลตฟอร์มโฆษณา หรือระบบอีเมล เพื่อสร้าง มุมมองลูกค้าคนเดียว (Single Customer View)
  • CRM: มุ่งเน้นที่การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยใช้ข้อมูลที่ทีมขายหรือทีมบริการลูกค้าป้อนเข้าไป เช่น ประวัติการติดต่อ การขาย การโทร หรือการติดตามลูกค้า

แหล่งข้อมูล

  • CDP: ดึงข้อมูลจาก ทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ พฤติกรรมการคลิก การซื้อ การดูสินค้า หรือข้อมูลจากระบบ third-party
  • CRM: ข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจาก ทีมภายใน เช่น ทีมขาย (Sales) หรือทีมบริการลูกค้า (Support) ที่บันทึกข้อมูลด้วยตนเอง

ลักษณะข้อมูล

  • CDP: เก็บข้อมูลพฤติกรรม (Behavioral Data) และเหตุการณ์ (Event Data) เช่น ลูกค้าคลิกลิงก์ไหน ซื้อสินค้ากี่ครั้ง เข้าชมหน้าเว็บอะไรบ้าง
  • CRM: เก็บข้อมูลเชิงธุรกรรม (Transactional Data) และความสัมพันธ์ (Relational Data) เช่น ใครคือ Sales Owner, Pipeline อยู่ขั้นไหน, เคยติดต่อลูกค้าครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

การทำงานร่วมกัน

ในองค์กรที่พัฒนาแล้ว CDP กับ CRM มักจะทำงานด้วยกัน

  • CDP เป็นฐานข้อมูลกลาง ที่รวบรวมพฤติกรรมลูกค้าทั้งหมด
  • CRM เป็นเครื่องมือปฏิบัติการ ที่ทีมงานใช้จัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยอิงจากข้อมูลที่ได้จาก CDP

ดังนั้นการจะมีเลือกใช้ CRM หรือ CDP เองก็ตาม คุณจะต้องเลือกก่อนว่าคุณจะใช้เครื่องมืออะไร ไปทำอะไร ถ้าคุณยังตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้ ให้คุณลองทบทวนอีกครั้งว่า ธุรกิจของคุณอยากพัฒนาเรื่องอะไรโดยใช้ข้อมูลลูกค้าให้เป็นประโยชน์ที่สุด คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องมีทั้ง 2 ตัว แค่ตัวใดตัวนึงที่ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพก็เพียงพอแล้วในขั้นตอนแรก


Use Case ตัวอย่าง

1. E-Commerce — แนะนำสินค้าได้ตรงใจลูกค้า

ร้านค้าออนไลน์มักมีลูกค้านับหมื่นคนที่มีพฤติกรรมแตกต่างกัน CDP จะช่วยรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ แอป และการสั่งซื้อ มาวิเคราะห์ว่า ใครกำลังสนใจสินค้าประเภทไหน หรือเคยซื้ออะไรไปบ้าง จากนั้นสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้กับระบบแนะนำสินค้า (Recommendation) หรือส่งอีเมล/แจ้งเตือนเฉพาะคน เช่น

“ลูกค้าที่ซื้อเสื้อเชิ้ต อาจสนใจเข็มขัดหรือรองเท้าในสไตล์เดียวกัน”
ผลลัพธ์คือยอดขายเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งโฆษณาเพิ่ม

2. ธุรกิจ Loyalty Program — เข้าใจลูกค้าที่ภักดีและรักษาไว้ได้

CDP จะช่วยเก็บข้อมูลจากการสะสมแต้ม การแลกของรางวัล และพฤติกรรมการซื้อซ้ำ
ทำให้แบรนด์รู้ว่าใครคือลูกค้าประจำหรือลูกค้าที่เริ่มห่างหายไป จากนั้นสามารถสร้างแคมเปญกระตุ้นกลับมาได้ เช่น

ส่งคูปองเฉพาะลูกค้าที่ไม่เคยกลับมาซื้อเกิน 90 วัน
ช่วยให้แบรนด์รักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่

3. แบรนด์สินค้า (FMCG / Beverage) — เชื่อมข้อมูลออฟไลน์กับออนไลน์

ในกรณีที่ลูกค้าซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านจริง เช่น เครื่องดื่มหรืออาหาร CDP สามารถเชื่อมข้อมูลจากกิจกรรมออฟไลน์ (เช่น การกรอกรหัสใต้ฝา, การเล่นเกมชิงรางวัล) เข้ากับข้อมูลมีเดีย

ผลคือแบรนด์จะรู้ว่า ลูกค้าคนไหนซื้อซ้ำบ่อย, อยู่พื้นที่ไหน, หรือมีส่วนร่วมกับแคมเปญไหนมากที่สุด ทำให้สามารถออกแบบกิจกรรมหรือโปรโมชันในอนาคตได้แม่นยำยิ่งขึ้น

4. บริษัทโฆษณา / เอเจนซี — ใช้ข้อมูลจริงวางแผนสื่อ

สำหรับเอเจนซีที่ต้องทำแคมเปญให้ลูกค้า CDP เป็นเหมือน “ขุมพลังข้อมูล” ที่ช่วยให้วางกลยุทธ์ได้แม่นขึ้น เพราะสามารถรู้ได้ว่า กลุ่มเป้าหมายจริง ๆ มีพฤติกรรมแบบไหน สนใจเนื้อหาอะไร และเคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ในช่องทางไหนมากที่สุด ข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งต่อไปยังแพลตฟอร์มโฆษณา เพื่อสร้าง Custom Audience ได้โดยตรง

5. ธุรกิจบริการ (เช่น โรงแรม, ฟิตเนส, ธนาคาร) — สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล

CDP สามารถรวมข้อมูลจากระบบสมาชิก การจองบริการ หรือการใช้แอป เข้าด้วยกัน
เช่น โรงแรมอาจใช้ข้อมูลการเข้าพัก, เมนูที่ลูกค้าชอบสั่ง, หรือสถานที่ที่เคยไปเที่ยว
เพื่อแนะนำแพ็กเกจที่เหมาะสมในครั้งถัดไป

“ลูกค้าที่เคยพักห้อง Sea View และสั่งอาหารทะเล อาจชอบแพ็กเกจพักริมทะเลพร้อมดินเนอร์ซีฟู้ด”
เป็นการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้พิเศษและเฉพาะตัว

ปัจจุบันมีบริการ Customer Data Platform ให้เลือกใช้มากมาย ถ้าคุณกำลังจะใช้ CDP อาจจะต้องศึกษาวิธีทำงานของ CDP การใช้งาน และโมเดลการคิดราคาให้รอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเงินที่ลงไป และอาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบเดิมเพื่อให้ทุกคนใช้ข้อมูลก้อนเดียวกันให้ และแก้ปัญหา data slios ที่เกิดขึ้นได้ครับ