Google Sheet, Excel ฉบับเริ่มต้น
หลักการทำงานของ google sheet , excel เบื้องต้น สำหรับมือใหม่

หลายๆ คนคงเคยใช้ Excel , google sheet สำหรับงานในชีวิตประจำวันไปบ้างแล้ว และสำหรับใครที่ยังไม่เคย วันนี้ผมจะมาแนะนำหลักการเบื้องต้นให้ก่อน โดยยกตัวอย่าง Google sheet ไปก่อน เพราะทุกน่าจะสามารถเข้าถึงมันได้ง่ายกว่า ผมขอเรียกว่า speardsheet ไปเลยแล้วกัน
หลักการของการใช้งาน speardsheet เกิดจากความต้องการคำนวณข้อมูลจำนวนมากในครั้งเดียว ตัว speardsheet ออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลที่จะใช้สำหรับการประมวลผลเท่านั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่ในรูปแบบของ Database แต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นก็เพียงพอที่เราจะเก็บข้อมูลเพื่อใช้งานส่วนตัว หรืองานองค์กรได้ครับ
หน้าต่างของโปรแกรม

โดยทั่วไปโปรแกรม speardsheet จะมีเมนูการจัดการข้อมูล อยู่ด้านบน ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ตามหัวข้อได้ ดังต่อไปนี้
- File สำหรับการเรียกใช้เมนูเกี่ยวกับ file นี้ รวมถึงการ Import ไฟล์
- Edit สำหรับการเรียกใช้เมนูเกี่ยวกับการแก้ไข การคัดลอก การวาง และการย้อนกลับกรณีมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
- View สำหรับการปรับแต่งมุมมองการใช้งาน เช่น การล็อกแถวด้านบนสุด การปรับขนาดหน้าจอ
- Insert สำหรับการเพิ่มข้อมูล แทรกรูปภาพ สร้างชาร์ต และคอมเม้นท์
- Format สำหรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูล
- Data สำหรับการจัดการข้อมูลเบื้องต้น การเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลอื่น ๆ และการสร้าง Function สำหรับจัดการข้อมูล
- Tools สำหรับการช่วยการแจ้งเตือน การสะกดคำ ฯลฯ
- Extension สำหรับส่วนเสริมในกรณีที่ต้องการ Custom Script เพิ่มเติม
- Help สำหรับความช่วยเหลือเกี่ยวกับการใช้งาน speardsheet
ลักษณะการเก็บข้อมูล
Speardsheet จะแบ่งข้อมูลออกแบบ Tabs ย่อยๆ ซึ่งแต่ละ Tab เราสามารถที่เก็บข้อมูลที่มีความแตกต่างกันได้

การเก็บข้อมูลจากใช้วิธีการอ้างอิง Cell แบ่งออกเป็น 2 แกน
- Row จะเป็นเลขของแถวของข้อมูลเริ่มจาก 1-1000 สามารถเพิ่มแถวได้
- Column จะเป็นชื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษ เริ่มจาก A-Z และจะเพิ่มตัวอักษรต่อท้ายไปเรื่อย ๆ เช่น AA , AB , AC
พอรวมกับจะได้ตำแหน่งของ CELL โดยเราจะเริ่มที่ Column:Row เช่น A1
ประเภทของข้อมูล

ประเภทของข้อมูลจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ
- ข้อมูลตัวเลข (Number) ข้อมูลจำนวนตัวเลข ร้อยละ *วันที่ duration เราสามารถเก็บให้อยู่ในรูปแบบตัวเลขแล้วใช้การเปลี่ยน Format ตามรูปด้านบนได้หลายหลาก
*ข้อมูลวันที่จริงๆ เป็นตัวเลขโดยตัวเลข 1 จะเท่ากับวันที่ 31 December 1899 บน Google Sheet ส่วนของ Excel จะเป็นวันที่ 1 January 1900 - ข้อมูลเชิงตรรกะ (Boolean)** ผลลัพธ์จะมีแค่ TRUE , FALSE เท่านั้น
เราสามารถใช้ 1 แทน TRUE และ 0 แทน FALSE - ข้อมูลตัวอักษร (Text) ข้อมูลประเภทนี้โดยทั่วไปจะอยู่ชิดซ้ายของ Cell
การเก็บข้อมูลและการกระจายค่าข้อมูล
เราสามารถเก็บข้อมูลทีละหลาย ๆ แถว หรือ คอลัมน์ ไว้ได้ใน 1 Cell โดยที่ข้อมูลของเราจะกระจายไปตามแถว / คอลัมน์ขึ้นอยู่วิธีการเก็บข้อมูลของเรา และสามารถนำไปใช้กับ function อื่น ๆ ได้ในภายหลัง โดยที่ข้อมูลของเราอาจจะเป็นคนละประเภทกันก็ได้


การระบุช่วงของข้อมูล (Defined Name Range)



การจัดการข้อมูลที่เป็นช่วงเราสามารถที่ระบุช่วงของข้อมูลที่เราต้องการเพื่อเรียกใช้ได้แบบง่าย ๆ ก็จริง แต่ปัจจุบันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นแล้ว
การสร้างตาราง (Convert to Table)
ปี 2023 Google Sheet มีการเพิ่มฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการสร้าง Table หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า Table มันต่างกันยังไงกับที่เราเก็บข้อมูลอยู่ทุกวันมันก็เป็น table เหมือนกัน ผมจะคลายข้อสงสัยให้ตามผมด้านล่างนี้

ภาพตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า ในกรณีที่เราเก็บข้อมูลแบบ Table เราสามารถเรียกใช้งาน Table หรือ Column ได้ผ่านคำสั่ง Table Name[#All] เพื่อดึงข้อมูลทั้งหมดในตาราง นอกจากนี้ยังสามารถเลือกเฉพาะ Column ที่ต้องการก็ได้ด้วยการเขียนในลักษณะ Table Name[column name]
ถ้าเราไม่ใช่คำสั่งแบบตาราง เราจะต้องทำการเลือกด้วยช่วงของข้อมูล(Range) เช่น B6:C8 ในการดึงข้อมูลทั้งหมดที่มี และเวลามีแถวหรือคอลัมน์เพิ่ม จะทำให้เราต้องกำหนดช่วงของข้อมูลใหม่ กรณีที่เป็นตารางพอเราพิมพ์แถวด้านล่างหรือคอลัมน์ที่ติดกันกับตารางจะถูกเพิ่มให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องไปเปลี่ยนสูตรบ่อย ๆ
Function
Google Sheet และ Excel มี 2 องค์ประกอบ ที่ใช้ในการคำนวณค่าต่าง ๆ เพื่อให้แสดงผลลัพธ์ที่ผู้ใช้งานต้องการ เช่น การรวมผลลัพธ์(Sum) , การเปลี่ยนแปลงข้อมูล (REPLACE) เป็นต้น

=function_name( argument_1 , [argument_2])
ตัวอย่างรูปแบบของสูตรการคำนวณ
การเขียนสูตรต่างๆ จะประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ
- ชื่อ Function คือคำสั่งที่จะระบุว่าเราจะทำอะไรกับข้อมูล
- Argument หรือเรียกว่า Parameter มีทั้งแบบที่จำเป็นต้องมี และไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ []
ยกตัวอย่าง เช่น เราจะทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จำเป็นจะต้องมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่ ไข่และผัก เราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

ข้อสังเกตกรณีที่เป็น optional argument จะมีเครื่องหมาย [] ระบุอยู่ตอนเรากดดูคำอธิบายสูตร
รูปแบบการเขียน Function
การเขียน Function บน speard sheet อยู่ในรูปแบบของ nested function คือการเขียนครอบ function ก่อนหน้านี้ไปเรื่อย โดยที่คำสั่งที่ถูกรันจะเริ่มจาก function ที่อยู่ด้านในก่อนเสมอ

ภาพตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่า Cell E11 ของเรา จะมีการใส่คำสั่งอยู่ 2 ชุด
ชุดแรก คือคำสั่ง LOWER(C7) ซึ่งจะทำให้ข้อมูลใน Cell C7 กลายเป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด
ชุดที่สอง คือคำสั่ง Trim() ที่ครอบ LOWER(C7) อีกที
จะเห็นได้ว่าคำสั่งชุดนี้ ผมได้มีการเว้นบรรทัด เพื่อให้สามารถอ่านออกได้ง่าย โดยการกด ALT + Enter เพื่อแยกบรรทัดใหม่ จะได้อ่านได้ง่ายไม่สับสน ความง่ายของการเขียนสูตรอีกแบบนึงคือ มันจะการแสดงตัวอย่างผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นให้เราทันที เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจ
ผลลัพธ์ของการเขียน Function
โดยทั่วไป Function จะสามารถส่งค่าได้ 2 รูปแบบหลัก ๆ
- Function ที่ส่งคืนเฉพาะค่าเดียว (Single value return) ฟังก์ชั่นประเภทนี้จะใช้ในการคำนวณ และส่งผลลัพธ์เพียงค่าเดียวเท่านั้น เป็นฟังก์ชั่นที่พบได้บ่อย และมีการใช้งานทั่วไปค่อนข้างมาก เช่น Sum() จะทำการรวมผลลัพธ์ไว้ใน Cell ที่เราวางสูตรเพียงแค่ค่าเดียวเท่านั้น

- Function ที่ส่งคืนแบบช่วงของข้อมูล (Vector/ Array Return) ฟังก์ชั่นประเภทนี้จะคำนวณและส่งคืนผลลัพธ์ที่สามารถกระจายออกไปหลาย Cell ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของ row หรือ columns เช่น FITLER() จะทำการ filter ข้อมูลตามเงื่อนไขที่เรากำลัง แต่ตอนส่งผลลัพธ์คือจะขึ้นอยู่กับช่วงข้อมูลที่เราเลือกไว้และตรงกับเงื่อนไขที่เรากำหนด

ARRAYFORMULA
เมื่อก่อนตอนที่เราจะต้องผูกสูตรทั้งตาราง ผมเชื่อว่าทุกคน คงเคยสร้างสูตรไว้ที่แถวแรก แล้วลากสูตรลงมาจนถึงแถวสุดท้าย แต่วันนี้ผมจะทำให้โลกของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ทั้ง 2 เคสที่ยกมาสามารถใช้งานได้เหมือนกันครับ แต่แบบ Arrayformula จะช่วยให้การจัดการได้ง่ายกว่า และทำให้ขนาดของไฟล์เบากว่าในกรณีที่เป็น excel
Arrayformula จะอาศัยวิธีการเดียวกันกับการคืนค่าแบบช่วงเพื่อใช้ทำงานในรูปแบบเดียวกัน Apply ในทุกแถวที่เราเลือก
วิธีการใช้งานคือจากสูตรเดิมเช่น LOWER(B4) ให้เราตัวช่วงของข้อมูลไปแทนที่จะใส่ค่าเพียงค่าเดียว ให้กลายเป็น LOWER(B4:B3) ตามตัวอย่าง หลังจากนั้นให้กดคำสั่งตามนี้
CTRL + SHIFT + ENTER สำหรับ Window PC ทั่วไป
CMD + SHIFT + ENTER สำหรับ Macos
หลังจากกด Shortcut key ด้านบน จะทำให้เราได้ Arrayformula() มาครอบ function ที่เราเขียนไว้ตอนแรกโดยอัตโนมัติครับ แต่ถ้าใครขยัน อยากจะเขียนสูตรเองยาวๆ แบบข้างบน เชิญเลยครับ ถือว่าฝึกความเร็วในการพิมพ์ไปในตัว

Google Sheet : กรณีที่เกิด Error ดังกล่าวเกิดจากการที่มีข้อมูลแทรกในคอลัมน์ที่มีการเขียนสูตรอยู่ โปรแกรมจะมองว่าไม่สามารถเขียนสูตรทับกับสิ่งที่เราพิมพ์ลงไปได้ ตามหลักของการคำนวณพื้นฐานของ Spreadsheet จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ลงไปใน cell มากกว่า สูตรที่เขียนในช่วงนั้นครับ
วิธีแก้ : ลบข้อมูลที่อยู่ในช่วงของ Arrayformula ออก ก็จะสามารถใช้งานได้

Excel : กรณีเกิด Error ประเภท SPILL จะหมายถึงมีข้อมูลมีอยู่ระหว่างช่องของสูตร arrayformula ทำให้ excel ไม่สามารถกระจายค่าต่างๆ ไปในช่องข้อมูลได้
วิธีแก้ : ลบข้อมูลที่อยู่ในช่วงของ Arrayformula ออก ก็จะสามารถใช้งานได้
แต่ถ้าจะล็อกแค่ Column หรือ Row ให้ใส่ $ ข้างหน้า เช่น ล็อก Column จาก C4 จะเป็น $C4
สรุปเนื้อหา
Spreadsheet มีหน้าที่หลักสำหรับการประมวลผลข้อมูลเพื่อทำงานกับข้อมูล ทั้งการจัดการข้อความและการคำนวณตัวเลข สามารถประยุกต์กับการใช้งานได้หลากหลายสาขา เช่น งานด้าน financial , marketing ,it และอื่น ๆ โดยที่ผู้ใช้งานจะต้องมีการวางขั้นตอนการคำนวณรวมถึง Logic ในการคำนวณให้เหมาะสมกับงานของตัวเอง
คำถามที่พบบ่อย
Excel / Google Sheet ใช้เป็นที่เก็บข้อมูลเหมาะหรือเปล่า
Excel / Google Sheet สามารถใช้เก็บข้อมูลได้ แต่หลัก ๆ ทั้ง 2 ตัว คือโปรแกรมที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลมากกว่า โดยเฉพาะ Excel ที่สามารถทำงานประมวลผลข้อมูลได้ โดยที่ไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่ไฟล์ด้วยนะ
สูตรที่ใช้บน Excel / Google Sheet เหมือนกันหรือเปล่า
ประมาณ 80% ของการใช้งานทั่วไปสามารถใช้สูตรแบบเดียวกันได้ แต่สูตรเฉพาะบางอย่างจะขึ้นอยู่กับเวอร์ชั่นของโปรแกรม / ชื่อสูตรเฉพาะ Excel / Google Sheet
เช่น Excel version 2505 จะใช้ REGEXTEST แต่ Google Sheet จะใช้ REGEXMATCH ซึ่งได้ผลลัพธ์เหมือนกัน
ถ้าต้องการทำงานร่วมกับผู้อื่นในเวลาเดียว ควรใช้ตัวไหน
Google sheet จะตอบโจทย์เรื่องการทำงานออนไลน์และการแชร์มากกว่า Excel
*แต่สำหรับบริษัทใหญ่บางที่อาจจะมีข้อพิจารณาเรื่อง Credential ของข้อมูลที่สามารถส่งออกไปภายนอกได้